น้ำศักดิ์สิทธิ์เมืองนครศรีธรรมราช
น้ำศักดิ์สิทธิ์เมืองนครศรีธรรมราช
กับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๑๐
กับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๑๐
แหล่งน้ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเลือกทำเลในการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองมาแต่บรรพกาล
เพราะนอกจากประโยชน์ใช้สอยที่มหาศาลทั้งการอุปโภคและบริโภคแล้ว ยังเป็นตัวแปรที่สื่อแสดงถึงความมั่งคั่งด้านทรัพยากรธรรมชาติของบ้านเมือง
อาจกล่าวได้ว่า ถ้าน้ำดี บ้านเมืองก็จะดี ประชากรก็อยู่ดีมีสุข
ดังจะเห็นได้จากพงศาวดารโยนก เมื่อพญาเม็งรายเชิญพญาร่วงแห่งสุโขทัยกับพญางำเมืองแห่งพะเยามาช่วยหาที่ตั้งเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
ก็ได้อาศัยศุภนิมิตชัยมงคลประการที่ ๕ (จากทั้งหมด ๗ ประการ) มาเป็นข้อพิจารณา
ดังว่า “...อนึ่ง อยู่ที่นี่เห็นน้ำตกแต่เขาอุสุจบรรพต คือดอยสุเทพไหลลงมาเป็นลำน้ำ...เป็นชัยมงคลประการที่
๕...” ส่วนเมืองสุโขทัยของพญาร่วงเองก็สร้างโดยศุภนิมิตชัยมงคลเช่นเดียวกันนี้
เพราะมีเขาหลวงเป็นแหล่งต้นน้ำใกล้ตัวเมือง เพียงแต่ทำสรีดภงค์กั้นระหว่างซอกเขา
ก็ทำให้มีน้ำกินน้ำใช้บริบูรณ์ตลอดปี ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าการสร้างเมืองทางภาคเหนือนั้นต้องอิงภูเขาเป็นภูมิศาสตร์สำคัญ
ส่วนการสร้างเมืองในภาคกลางซึ่งเป็นที่ราบลุ่มห่างไกลจากภูเขานั้น
ก็ต้องอิงแม่น้ำและลำคลองเป็นเครื่องประกันความอุดมสมบูรณ์
นครศรีธรรมราชไม่มีภูเขาชิดเมืองอย่างกรุงสุโขทัยหรือเชียงใหม่
ทั้งไม่มีแม่น้ำลำคลองมากมายอย่างกรุงศรีอยุธยา ทั้งภายในเขตเมืองนครศรีธรรมราชช่วงต้นของสมัยอยุธยาตอนปลายเป็นอย่างน้อย
คือบริเวณที่ปัจจุบันถูกล้อมด้วยถนนศรีธรรมโศกด้านทิศตะวันออก ถนนประตูชัยใต้และถนนชลวิถีทางทิศใต้
ถนนศรีธรรมราชด้านทิศตะวันตก และแนวกำแพงเมืองซึ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ทางด้านทิศเหนือ
มีข้อสังเกตบางประการที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องน้ำ อาทิ
๑. ไม่ปรากฏลำน้ำใหญ่ใกล้เขตเมืองและไม่ปรากฏว่ามีคู
คลอง หนอง บึง ภายในเขตกำแพง
๒. ด้านทิศตะวันออกเป็นป่าชายเลน
เป็นพื้นที่น้ำกร่อย ซ้ำยังติดทะเล
๓. ด้านทิศตะวันตกเป็นที่ราบเชิงเขาถัดขึ้นไปเป็นเทือกเขานครศรีธรรมราช
ข้อสังเกตประการสุดท้ายที่ว่าภายในเขตกำแพงเมืองนี้ไม่มีคู
คลอง หนอง บึง เป็นเหตุอันควรหาคำตอบมากที่สุด ด้วยว่าการอุปโภคและบริโภคในชีวิตประจำวันของผู้คนทุกชนชั้นนั้นจะขาดน้ำไปเสียไม่ได้
ดังนั้นจึงพบว่าแทนที่ด้วยแหล่งน้ำดังกล่าว เมืองนครศรีธรรมราชมีแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีคุณลักษณะพิเศษอย่าง
“น้ำซับ” จากตาน้ำและเป็นแหล่งน้ำใต้ดินที่มีตลอดสันทรายนี้ คือตั้งแต่ตำบลการะเกด
อำเภอเชียรใหญ่ เรื่อยขึ้นไปทางทิศเหนือจนถึงอำเภอสิชล
ลักษณะของดินภายใต้ตัวเมืองเป็นดินปนทรายอันเป็นอุปกรณ์ธรรมชาติในการกรองน้ำได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับการมีเทือกเขาหลวงอยู่ทางทิศตะวันตกและมีทะเลอยู่ทางทิศตะวันออก
ทำให้น้ำจากที่สูงซึ่งมีปกติไหลลงสู่ทะเลนี้
ผ่านเข้ามากรองด้วยสันทรายดังกล่าวกลายเป็นแหล่งน้ำอันอุดมตลอดปี เมื่อพิจารณาตำแหน่งของบ่อน้ำที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันแล้ว
พบว่าอยู่ในแนวเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เพราะหากขุดนอกสันทรายลงไปด้านทิศตะวันออกแล้วจะได้น้ำกร่อย
ข้อนี้เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายู
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๘ ได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งดำรงพระอิสริยยศที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ในที่ประชุมรักษาพระนคร ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ ความว่า “...ที่ตำบลนี้
(ปากพนัง) ลำบากอยู่แต่ด้วยน้ำ ถ้าขุดบ่อในที่ซึ่งเป็นดินเลนใกล้แม่น้ำๆ
เปรี้ยวใช้ไม่ได้ ถ้าออกไปขุดริมชายทะเล ห่างทะเลขึ้นมาสัก ๓๐ เส้น
กลับได้น้ำจืด...”
จึงสรุปเบื้องต้นได้ว่า
เมืองนครศรีธรรมราชเฉพาะในเขตกำแพงเมืองนี้ ใช้น้ำซับจากแหล่งน้ำใต้ดินเป็นแหล่งน้ำหลักในการอุปโภคและบริโภค
วิธีการรองรับน้ำไว้ใช้งานนั้น
เท่าที่พบข้อมูลในขณะนี้มี ๒ รูปแบบ อย่างแรกเป็นการใช้น้ำที่อยู่ในระดับผิวดินคือเปิดหน้าดินลึกลงไปไม่ถึงเมตรก็จะพบน้ำ
ที่เหลือเชื่อมากกว่านั้นคือ มีผู้เล่าว่า
แค่ใช้มือปาดผิวทรายก็เห็นน้ำซึมออกมาแล้ว จึงมักใช้ไม้ดักไว้โดยรอบเป็นแอ่งเพื่อกันปฏิกูลก่อนใช้น้ำ
เป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันไม่พบการใช้น้ำในลักษณะนี้แล้ว ส่วนวิธีที่ ๒ เป็นการใช้ตาน้ำใต้ดิน
โดยขุดลงไปแล้วก่ออิฐทำบ่อถาวร วิธีนี้ยังคงพบเห็นอยู่เรียงรายไปตามถนนราชดำเนิน
เช่น
หน้าเมือง
๑. บ้านชะเอียนในเขตกองทัพภาคที่ ๔
ค่ายวชิราวุธ
๒. วิทยาลัยเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมนครศรีธรรมราช
๓. วัดบูรณาราม
๔. วัดประตูขาว
(ร้าง)
ในเมือง
๑. วัดเสมาชัย
(ร้าง)
๒. วัดเสมาเมือง
๓. ฐานพระสยม
๔. แยกท่าชี
๕. วัดหน้าพระลาน
๖. วัดสระเรียง
๗. วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
หลังเมือง
๑. วัดท้าวโคตร
๒. วัดสวนหลวง
๓. วัดพระเวียง (ร้าง)
เมื่อเป็นอย่างนั้น
คำถามต่อมาคือ บ่อน้ำที่ขุดขึ้นเพื่อใช้อุปโภคบริโภคนี้
มีเพียงพอกับผู้คนในเมืองนครศรีธรรมราชหรือ ? ซ้ำยังต้องใช้เพื่อการเกษตรและเลี้ยงสัตว์
ข้อนี้ก็ปรากฏว่ามีชื่อบ้านนามเมืองที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ท่า”
อยู่ดาษดื่นเป็นคำตอบรองรับ เช่น ท่าชี ท่าม้า ท่าช้าง ท่าวัง และท่าโพธิ์ เป็นต้น
ท่าเหล่านี้ทำหน้าที่รองจากบ่อ คือ บ่อเป็นของส่วนตัว
ขุดขึ้นที่วัดใดบ้านใดก็ใช้กันเฉพาะเจ้าของ ส่วนท่าเป็นของสาธารณะมีสิทธิใช้สอยร่วมกัน
โดยที่แต่ละท่าก็มีความเฉพาะของการใช้มาแต่โบราณตามชื่อที่ปรากฏ เช่น ท่าชี
ที่อยู่หลังฐานพระสยม ใช้สำหรับสมณะพราหมณ์ชี ท่าม้าก็เนื่องด้วยม้า
ท่าช้างก็เนื่องด้วยช้าง จะมาแตกต่างก็ท่าวังและท่าโพธิ์ที่ใช้ภูมิประเทศเป็นชื่อท่า
เช่น ท่าที่อยู่บริเวณคุ้งน้ำซึ่งเรียกเฉพาะอย่างชาวนครศรีธรรมราชว่า “วัง” ก็เรียกท่าวัง
และท่าที่มีต้นโพธิ์สำคัญก็เรียกท่าโพธิ์ ส่วนท่าซักนี้
ยังไม่มีข้อยุติในเรื่องที่มาว่ามาจาก “ชัก” ด้วยเหตุที่คลองตื้นเขินเมื่อถึงตรงนี้จึงต้องชักเรือออกปากน้ำแล้วเพี้ยนมาเป็นซัก
หรือมาจากการที่เส้นทางออกไปปากพญาทางคลองนี้นั้นเป็นคลองหวงห้าม
ด้วยว่าครั้งสมัยกรุงธนบุรีนั้นต้องผ่านเขตวังหน้าอันมีเจ้าอุปราชพัด รักษาอยู่
ทั้งยังเป็นที่สำหรับใช้สอยเป็นโรงเรือพระราชพิธีสำหรับพระเจ้าแผ่นดินเมืองนครศรีธรรมราช
และเรือซึ่งใช้ในการศึกสงคราม
ดังนั้นผู้ที่สัญจรผ่านเข้าออกทางนี้จะต้องถูกกักที่ด่านเพื่อ “ซักไซ้ไล่เลียง”
และตรวจค้นเป็นการใหญ่จนขนานนามกันเป็นชื่อท่า อีกที่มาว่า “ซัก”
ตามที่อ้างอิงกันว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชรับสั่งให้ซักผ้าพระบฏที่ท่านี้
หากจะให้กล่าวแย้งหรือแสดงความคิดเห็นก็คงมีคำถามกับเหตุผลในข้อหลังที่ว่า
เหตุใดจึงทรงเจาะจงให้มาซักที่ตรงนี้ ทั้งที่ห่างจากพระราชวังร่วมสิบกิโลเมตร
ท้ายวังเองก็มีประตูลงสู่ท่าน้ำ และในวังก็มีบ่อน้ำใช้สอย ซึ่งหากยังไม่มีข้อมูลที่แย้งกับข้อแรกและข้อสองซึ่งดูเหมือนว่าจะพอไปด้วยกันได้
ในชั้นนี้จึงพอทำเนาเชื่อทั้งสองข้อนี้ร่วมกันไดไปพลางก่อน
การเลือกทำเลที่ตั้งเมืองทั้งที่จะต้องใช้เวลาสำหรับการเตรียมการหาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค
แทนที่จะเลือกพื้นที่ที่บริบูรณ์พร้อมแล้วซึ่งจะได้ประหยัดเวลาในการสร้างบ้านแปงเมือง
จึงอาจมีเหตุผลอื่นประกอบ เช่น การกำบังจากศัตรู ความสะดวกในการทำการค้า พื้นที่ทำการเกษตร
การคมนาคม และบริบทอื่นๆ รวมความว่า การเลือกทำเลที่ตั้งเมืองนครศรีธรรมราชในตำแหน่งปัจจุบันนี้
เป็นเครื่องชี้เชาวน์ปัญญาของบรรพชนในอดีตที่แม้แลไม่เห็นน้ำเป็นสายบนผิวดิน
ก็สัมผัสรู้ถึงแหล่งน้ำใต้ดินได้อย่างอัศจรรย์ มาถึงตรงนี้ชวนให้นึกถึงเรื่องเล่าของพ่อท่านคล้าย
วาจาสิทธิ์ ว่าในขณะที่กำลังควบคุมการตัดถนนข้ามเขาธงนั้น บังเกิดเหตุจำเป็นให้ต้องใช้น้ำขึ้น
พ่อท่านก็ชี้ลงให้ลูกศิษย์ขุด ขุดลงไปก็พบตาน้ำจริงสิทธิตามวาจาท่านว่า
จึงนอกจากจะใช้ดื่มกินและอุปโภคแล้ว ปัจจุบันถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในลำดับต้นๆ
ของเมืองนครศรีธรรมราช พาลให้คิดไปถึงขั้นว่า ศาสตร์แห่งการหยั่งรู้แหล่งน้ำใต้ดินนี้
อาจเป็นภูมิปัญญาแห่งบรรพชนที่สืบทอดกันมาแล้วแต่เก่าก่อนของเมืองนครศรีธรรมราชเราก็เป็นได้
ศักดิ์ (น.) แปลว่า อำนาจหรือความสามารถ
สิทธิ์ (น.) แปลว่า
ความสำเร็จหรือการสมปรารถนา
หากแยกแล้วแปลกลับในลักษณะนี้จะได้ความว่า
ความสำเร็จที่มาจากความสามารถ ส่วนถ้าแปลรวมเป็นคำเดียว ศักดิ์สิทธิ์
จะเป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า ที่เชื่อถือว่ามีอำนาจบันดาลให้สำเร็จได้ดังประสงค์
ดังนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของแหล่งน้ำเมืองนครศรีธรรมราชตามความรับรู้ของคนทั่วไปจึงมาจากการทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์ของคำว่าศักดิ์สิทธิ์นี้
คือเชื่อว่าแหล่งน้ำแต่ละแหล่งนั้น เมื่อดื่มกินหรือประพรมจะสามารถดลบันดาลให้สมตามความมุ่งมาดปรารถนาของตนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตามความเชื่อ
ดังเช่นที่ผูกเป็นกลอนว่า
บ่อหน้าพระลาน
ดีด้านปราดเปรื่อง
บ่อเสมาเมือง
แก้เรื่องคุณไสย
บ่อสามนั้นอยู่
วัดเสมาชัย
ดื่มกินครั้งใด
มีชัยอำนาจ
บ่อประตูขาว
เจ้าไสยศาสตร์
ห้วยปากนาคราช
แคล้วคลาดคุ้มภัย
น้ำกลางคีรี
ราศีสดใส
ห้วยเขามหาชัย
เลิศวิไลยอดคีรี
กลอนบทนี้ประกอบกับความสำคัญของการใช้มาแต่โบราณ
ทำให้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๖ แหล่งคือ บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน บ่อน้ำวัดเสมาเมือง
บ่อน้ำวัดเสมาชัย บ่อน้ำวัดประตูขาว ห้วยเขามหาชัย และ ห้วยปากนาคราช
เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป
บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน
(ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
วัดหน้าพระลาน ตั้งเมื่อพุทธศักราช ๑๘๐๐
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดเดียวที่ตั้งอยู่เบื้องหัวนอนหรือทิศใต้ขององค์พระบรมธาตุเจดีย์
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดปากประตูชัยสิทธิ์ เข้าใจว่าแต่โบราณนั้น ปากประตูทางเข้า -
ออกหลักของเมืองนครศรีธรรมราช จะมีวัดที่มีแหล่งน้ำสำคัญไว้ทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมและดื่มกินสำหรับเหล่าทแกล้วทหาร
โดยที่ประตูชัยศักดิ์ด้านทิศเหนือเป็นทางออกมีบ่อน้ำวัดเสมาชัย
ดังที่ได้ยกบทกวีไว้ข้างต้นว่า “ดื่มกินครั้งใด มีชัยอำนาจ” ถือเป็นฤกษ์เป็นชัยและขวัญกำลังใจ
ส่วนเมื่อกลับจากการศึกก็เข้าเมืองทางประตูชัยสิทธิ์แล้วต้องดื่มกินน้ำจากบ่อน้ำวัดหน้าพระลานเสียเพื่อแก้กฤติยาซึ่งถูกฝังเป็นอารรพ์กำกับไว้กับประตู
ด้วยการ “กลบบัตร” ด้วยน้ำ จะเรียก “กลบบัตรรดน้ำ”
เพื่อให้เข้ากันกับ “กลบบัตรสุมไฟ” ด้วยหรือไม่อย่างไรไม่ทราบ
แต่โบราณนั้นปรากฏว่ามี “พระราชพิธีนครถาน”
ที่ว่าด้วยเมื่อพราหมณาจารย์ลงยันต์ถมเวทย์อาถรรพ์แผ่นเงิน แผ่นทองแดง
แผ่นศิลา ตุ๊กตารูปราชสีห์ ช้าง และเต่า ตั้งศาลบูชาเทวดาตามลัทธิ
เจริญพระเวทย์ครบพิธีฝ่ายพราหมณ์แล้ว
ฝ่ายพุทธจะต้องเชิญเครื่องอาถรรพ์เหล่านี้เข้าสู่ปริมณฑลในโรงพิธี
ให้สงฆ์ผู้ใหญ่นั่งปรกและเจริญพระพุทธมนต์ถึงสามวันสามคืน รุ่งขึ้นวันที่สี่
ซึ่งเป็นวันกำหนดฤกษ์จึงเชิญเครื่องอาถรรพ์ลงหลุมตั้งเสาประตู พราหมณ์ร่ายเวทย์
สงฆ์สวดมหาชัยปริตร ประโคมปี่พาทย์ ฆ้องชัย แตรสังข์ โห่ร้องยิงปืนเป็นฤกษ์
พร้อมกันนั้นพระสงฆ์จะเชิญน้ำพระพุทธมนต์ และทรายซึ่งนำเข้าปริมณฑลเจริญพระเวทย์และสวดพระปริตรพร้อมกับแผ่นอาถรรพ์และตุ๊กตาโปรยปรายไปตามแนวที่จะสร้างกำแพงเมืองโดยรอบทั้งสี่ทิศแล้วขุดวางรากสร้างกำแพงเมืองแล้ววางเสาประตู
ข้างฝ่ายเมืองนครศรีธรรมราชก็มีพิธีที่เนื่องด้วยการโปรย “เงินเล็กปิดตรานะโม”
และพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบขอบเขตพระนครในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชซึ่งน่าจะเข้าเค้า
ประตูชัยเมืองนครศรีธรรมราช
มีมุขปาถะว่าอาถรรพ์ประตูเมืองนครศรีธรรมราชนั้น
นอกจากฝังอยู่ตรงเสาสองข้างและใต้ธรณีประตูเป็นแนวยาวแล้วยังฝังไว้เหนือประตูด้วย
คนเฒ่าคนแก่ยืนยันว่าอาถรรพ์ประตูชัยเมืองนครศรีธรรมราชนั้น
แม้ใครจะเรืองฤทธิ์ขมังเวทย์อยู่ยงคงกระพันอย่างไร ถ้าลอดผ่านประตูนี้แล้ว
ก็เป็นอันสิ้นเวทย์เสื่อมฤทธิ์ทันที ไม่เว้นแม้แต่คนเมืองนครศรีธรรมราชเอง
แต่ก็มีของแก้ นั่นคือน้ำบ่อวัดหน้าพระลานนี้
คนเมืองนครศรีธรรมราชสมัยโบราณจะมีน้ำจากบ่อวัดหน้าพระลานติดตัวสำหรับล้างหน้าสระเกล้าแก้อาถรรพ์ติดตัวอยู่เสมอ
ความศักดิ์สิทธิ์ของบ่อน้ำวัดหน้าพระลานหาได้รู้จักกันแต่ในหมู่ชาวบ้านเมืองนครศรีธรรมราชแห่งเดียวไม่
ยังถูกเล่าเป็นที่เชื่อถือของชาวต่างบ้านต่างเมืองด้วย
ปรากฏว่าเมื่อมาเยือนเมืองนครศรีธรรมราชก็ต้องเอาน้ำบ่อวัดหน้าพระลานติดตัวกลับเสมอ
ผู้ที่ไม่มีโอกาสมาก็ไหว้วานให้นำไปเป็นของฝาก เพราะนอกจากเรื่องการแก้อาถรรพ์แล้ว
บ่อน้ำวัดหน้าพระลานนี้ เชื่อสืบกันมาว่าหากใครได้ดื่มกินจะมีปัญญาเฉียบแหลม
มีบุญวาสนาสูง และมีโอกาสได้เป็นขุนน้ำขุนนาง
แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อวันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้น ๖ ค่ำ รัตนโกสินทร์ศก ๑๐๗ (๑๑ กันยายน ๒๔๓๑)
ในสมัยเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช (หนูพร้อม) เป็นเจ้าเมือง
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดหน้าพระลาน ทรงใช้หมาจากเป็นภาชนะสำหรับตักน้ำมาเสวยด้วยพระองค์เอง
แล้วทรงรับสั่งถามสมภารศรีจันทร์ เจ้าอาวาสวัดหน้าพระลานขณะนั้นว่า
ศิษย์วัดหน้าพระลานเมื่อได้ดื่มกินน้ำในบ่อนี้แล้วจะได้เป็นใหญ่เป็นโตจริงหรือ
สมภารฯ ได้ถวายพระพรตอบว่า ศิษย์วัดหน้าพระลาน ถ้าได้ดื่มน้ำในบ่อนี้แล้ว
อย่างเลวก็สามารถที่จะคาดว่าวขึ้น
คำเปรียบเปรยเพื่อให้เห็นภาพที่ว่า
แม้เด็กวัดอย่างเลวก็ “คาดว่าวขึ้น” นี้
การคาดว่าวคือการผูกสายซุงที่อกว่าว ซึ่งต้องใช้ความชำนาญส่วนบุคคล
จัดว่าเป็นทักษะเฉพาะด้านที่ต้องผ่านการฝึกฝน ในที่นี้เด็กวัดอย่างเลว
หมายถึงเด็กวัดทั่วไปที่ไม่สันทัดในเรื่องนี้ เมื่อได้กินน้ำในบ่อนี้แล้วก็สามารถที่จะทำได้
ทั้งนี้ก็มีข้อปฏิบัติเป็นเคล็ดคือต้องตักทางทิศอีสานของบ่อจึงจะถือว่าดีและได้ผล
มีเรื่องเล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่ง
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช (หนูพร้อม) เคยสั่งให้ถมบ่อแล้วสร้างหอไตรทับไว้
เพราะเห็นว่าชาวบ้านไปอาบ – กินน้ำบ่อนี้กันมาก
เกรงว่าจะมีผู้มีปัญญามีบุญวาสนาขึ้นจนเป็นภัยต่อการปกครอง เรื่องนี้ ขุนอาเทศคดี
(กลอน มัลลิกะมาส) ได้กล่าวถึงในบทความเรื่อง “น้ำศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช”
ในหนังสือจุฬาฯ นครศรีธรรมราช ๒๓ ตุลาคม ๒๕๑๔ ว่า “...เมื่อประมาณ ๕๐
กว่าปีมานี้ ข้าพเจ้าได้ไปดูหอไตรที่วัดหน้าพระลาน เห็นหอไตรที่ว่านั้นมีอยู่จริง
อยู่ทางทิศอีสานของวัด แต่ชำรุดทรุดโทรมด้วยความเก่าแก่คร่ำคร่า
คงมีแต่ฐานกับเสาอิฐปูนหักๆ
ส่วนเรื่องที่เล่าลือกันไม่ปรากฏว่ามีใครเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังนัก
เพราะยังมีชาวบ้านชาวต่างเมืองไปอาบกินลูบตัวลูบหน้าประพรมศีรษะด้วยความนิยมนับถือกันอยู่
ครั้นเมื่อประมาณ ๓๐ ปีมานี้ พระครูการาม (ดี สุวณฺโณ) เจ้าอาวาส
ได้ขุดรื้อฐานหอไตร ถามถึงการถมบ่อ
ท่านบอกว่าท่านก็ได้ขุดค้นหาซากบ่อน้ำเพื่อพิสูจน์ความจริงกัน
แต่ก็ไม่พบร่องรอยเลย ท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีทับถมกันมากกว่า
และบัดนี้ ท่านได้ก่อปากบ่อให้สูงขึ้น ทำกำแพงล้อม ถมพื้นคอนกรีตข้างๆ บ่อ
บำรุงรักษาทำความสะอาดอย่างดีแล้ว
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ทางทิศตะวันออกพระอุโบสถ...”
ที่เล่าลือกันไปนี้ มีข้อปลีกย่อยที่หนักเข้าถึงขั้นบ้างว่าเป็นพระประสงค์ของสมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่รับสั่งให้ถมก็มี
อย่างที่ชาวนครศรีธรรมราชบางจำพวกพยายามทำหน้าที่เป็นศาลเตี้ย
โยนความและตั้งแง่เป็นเรื่องซุบซิบโปรยไปประกอบรูปการณ์ของบ้านเมืองจนคล้ายกับว่าเป็นเรื่องจริงใส่ความผู้มีอำนาจเพื่อแสดงความชอบธรรมบางประการของตนในฐานะผู้เป็นเจ้าของพื้นที่อยู่เนืองๆ
น้ำบ่อหน้าพระลานนี้ ตรี อมาตยกุล
ได้พรรณนาไว้ในบทความ “นครศรีธรรมราช”
จากหนังสือรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ ว่า “...เป็นบ่อที่ขุดมาช้านานแล้ว
น้ำในบ่อนั้นใสสะอาด รับประทานดีมีรสจืดสนิท
ชาวนครศรีธรรมราชพากันมาตักไปรับประทานกันเสมอ...”
ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นหากแต่ลดวิถีของการบริโภคน้ำบ่อลงไปตามยุค
ส่วนการอุปโภคก็ด้วยเหตุเดียวคือเพื่อความเป็นสิริมงคลแก้อาอรรพ์คุณไสยและเสริมปัญญาบารมี
มากไปกว่านั้นทั้งหมด
บ่อนี้เป็นบ่อเดียวในทุกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏประวัติว่า พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาเพื่อพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระองค์เอง
จึงควรค่าแก่การจารึกไว้เป็นอนุสรณ์เป็นที่ยิ่ง
บ่อน้ำวัดเสมาเมือง
(วัดเสมาเมือง ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช)
วัดเสมาเมือง ตั้งเมื่อ พุทธศักราช ๑๓๑๘
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นวัดเก่าแก่ที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช
ว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงรับสั่ง “...ให้ขุดพูนถนนแล้วแต่งวัดเสมาเมือง...”
ทั้งยังพบหลักฐานทางโบราณคดีสำคัญ คือศิลาจารึกหลักที่ ๒๔ กล่าวถึงพระเจ้าจันทรภาณุ
และมีเรื่องราวเล่าขานว่าเป็นที่พำนักของหลวงพ่อทวด เมื่อครั้งบรรพชาเป็นสามเณร
ในปีพุทธศักราช ๒๑๔๔ ขณะที่พระครูกาเดิมเป็นเจ้าอาวาส
บ่อน้ำวัดเสมาเมือง
เป็นบ่อรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส อยู่ทางทิศเหนือของศาลาการเปรียญ ในปลายปี
พ.ศ.๒๕๔๔ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช
ได้พัฒนาภูมิทัศน์ของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเขตพื้นที่ซึ่งมีอยู่ ๔ บ่อ
ตามโครงการฟื้นฟูอดีตสู่ความยิ่งใหญ่ของเมืองนครศรีธรรมราช โดยได้สร้างหลังคาทรงปั้นหยาแปลง
มุงกระเบื้องดินเผาครอบไว้ น้ำบ่อนี้เชื่อว่ามีคุณด้านการแก้คุณไสยทั่วไปไม่เจาะจงเหมือนอย่างบ่อน้ำวัดหน้าพระลาน
บ่อน้ำวัดเสมาชัย
(โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมือง
ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
วัดเสมาชัย อยู่ติดกับวัดเสมาเมืองทางทิศเหนือ
เป็นหนึ่งในสี่วัดสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราช คือ วัดเสมาเงิน วัดเสมาทอง
วัดเสมาเมือง และวัดเสมาชัย ปัจจุบันเป็นวัดร้างที่ถูกใช้ประโยชน์ตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๔๙๙ จากการขยายพื้นที่ของโรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมือง
ทำให้เหลือเพียงแค่พื้นที่โบสถ์เดิมซึ่งถูกปรับเป็นศาลาโถงคอนกรีต
รายรอบด้วยใบเสมาหินชนวนขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อเสมาชัย
เจ้าแม่อ่างทอง ส่วนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ห่างออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับถนนราชดำเนิน
บ่อน้ำศักดิสิทธิ์วัดเสมาชัย
แต่เดิมก่ออิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยม ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างบ่อชอนไชจนผนังบ่อทรุดลง
เทศบาลนครนครศรีธรรมราชได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ตามโครงการที่กล่าวแล้ว
โดยการปรับสภาพเป็นบ่อกลม สร้างศาลาไม้หลังคากระเบื้องดินเบาครอบบ่อไว้
เทพื้นคอนกรีตรอบบ่อ กั้นรั้ว แล้วประกอบพิธีสมโภชเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๕
ชัย (น.) แปลว่า การชนะ, ความชนะ
ไชย (ว.) แปลว่า ดีกว่า, เจริญกว่า
ดังนั้น หากให้ตรงตามคุณลักษณะความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำในบ่อนี้
จึงควรเป็นเสมาชัยมากกว่าเสมาไชยด้วยเหตุที่คำว่า “เสมา”
แท้จริงคือเครื่องหมายบอกเขตโบสถ์ ในที่นี้อาจอนุโลมให้จำกัดความไว้แค่ “เครื่องหมายบอกเขต”
แห่ง “ความชนะ” ดังนั้นจึงมีมุขปาฐะเล่าสืบเนื่องต่อกันว่า ก่อนออกสงครามทางประตูชัยศักดิ์ซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกไม่กี่สิบเมตรจากบ่อทางด้านทิศเหนือ
จะต้องดื่มกินหรือประพรมน้ำในบ่อนี้เพื่อความสวัสดิมงคลทุกคราวไป
บ่อน้ำวัดประตูขาว
(โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช “ณ นคร
อุทิศ” ตำบลคลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
วัดประตูขาว
สร้างมาตั้งแต่ครั้งใดไม่ปรากฏ มีหลักฐานในจดหมายเหตุระยะทางเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ของสักขี
ตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ถึงวันที่ ๕ สิงหาคม พระพุทธศักราช ๒๔๕๘ ในฉบับที่ ๘
ที่กล่าวถึงการเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราชของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งเฉพาะที่เกี่ยวกับวัดประตูขาวว่า
“...วันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๘ เวลาบ่ายเกือบ ๕ โมง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องสนามเสือป่า ผู้บังคับกองพันพิเศษ กรมมณฑลนครศรีธรรมราช
เสด็จจากค่ายหลวง ทรงเยี่ยมเยียนกองเสือป่ากรมมณฑลนครศรีธรรมราช
ซึ่งมาชุมพลในการรับเสด็จ ตั้งที่พักอยู่ในวัดประตูขาว ใกล้เขตค่ายหลวงด้านเหนือ
ที่พักเป็นโรงไม้มุงจาก ยกแคร่ขึ้นสองข้าง เป็นที่อยู่หลับนอนมีทางเดินกลาง
มีที่พักเช่นนี้เหมือนกันทั้ง ๔ กองร้อย...ทรงพระดำเนินทอดพระเนตรที่พักทั่วกันทั้ง
๔ กองร้อยแล้ว ประทับที่ลานแห่งหนึ่ง
...กองลูกเสือมาประชุมพร้อมแล้วไปตั้งแถวตามลำดับกองร้อย คอยส่งเสด็จ...”
น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าร่วมกับพื้นที่ใช้สอยของกองเสือป่านี้
มีศาสนสถานใดอยู่บ้าง ซึ่งอาจชวนให้คิดได้ว่าวัดประตูขาวอาจจะเหลือเพียงแค่ชื่อและพื้นที่แล้วในสมัยนั้นก็เป็นได้
จึงมีบริเวณเพียงพอสำหรับกองเสือป่าถึง ๔ กองร้อย (๑ กองร้อย มี ๑๗๖ นาย ๔
กองร้อยจึงมีกำลังพล ๗๐๔ นายโดยประมาณ) ปลูกโรงที่พักและใช้ชุมนุม
บ่อน้ำวัดประตูขาวนี้ เมื่อแรกรุ่งเรืองนั้น
เล่าสืบกันมาว่าเจ้าอาวาสเป็นพระสงฆ์ที่มีความชำนาญในอาคมไสยเวทย์ น้ำบ่อนี้จึงถูกใช้เนื่องในพิธีกรรมทั้งพุทธคุณและไสยคุณอยู่เสมอ
บ้างก็พลีไปใช้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ บ้างก็ใช้ทั้งบ่ออย่างพิธีอาบน้ำแสงจันทร์ เป็นต้น
ครั้งเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ พลเอกเจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต
(แย้ม ณ นคร) ได้บริจาคเงินสมทบกับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ
ในการก่อสร้างอาคารอนุบาลหลังแรก ด้วยเจตจำนงที่จะอุทิศส่วนกุศลแด่ท่านกลาง ณ นคร
ผู้เป็นอา ภายหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางการได้ตั้งชื่อว่า
โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นคร อุทิศ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ท่านเจ้าคุณแย้ม
ทั้งนี้ ในการก่อสร้างดังกล่าวปรากฏว่าได้ถมบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เสีย
ต่อมาเมื่อมีผู้เรียกร้องเนื่องจากบ่อนี้เพิ่งถูกใช้ทำน้ำอภิเษก
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิธ
(รัชกาลที่ ๙) เมื่อต้นปีเดียวกันกับที่ถมไป
โรงเรียนจึงตัดสินใจขุดบ่อขึ้นใหม่บริเวณมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโรงเรียนฝั่งถนนราชดำเนิน
ห้วยเขามหาชัย
(หมู่ที่ ๔ ตำบลท่างิ้ว
อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
เขามหาชัย
ประกอบด้วยภูเขาสองหย่อม หย่อมใหญ่ทอดยาวไปทางทิศเหนือ เรียกว่า “เขามหาชัย”
ซึ่งเขานี้ ก่อนจะได้ชื่อว่า “มหาชัย” ชาวบ้านเรียกว่า “เขาหนอกวัว”
เนื่องจากดูจากระยะไกลคล้ายหนอกวัว หย่อมถัดไปเป็นหย่อมเล็กทอดยาวไปทางทิศใต้ มีตำนานกล่าวถึงกองโจรสลัดชวาบุกเข้ามาในพื้นที่เที่ยวดักจับเป็ดและไก่
อาการดักจับนี้ ชาวนครศรีธรรมราชเรียกว่า “หลัก” จึงพลอยให้เรียกภูเขาหย่อมนี้ว่า “เขาหลักไก่”
ไปด้วย
เมื่อประมาณ ๗๐๐ – ๘๐๐ ปีมาแล้ว
พื้นที่ราบระหว่างช่องขาดของเขาหลักไก่กับเขาหนอกวัว เป็นทะเลสาบย่อมๆ
มีชื่อเรียกกันอยู่จนปัจจุบันว่า “อู่ตะเภา” มีลำบางแยกเข้าไปหาทะเลสาบอู่ตะเภาจากคลองท่างิ้ว
ปัจจุบันยังเป็นที่ลุ่มกว้างเต็มไปด้วยทรายละเอียดและเปลือกหอยทะเลบางชนิด
ถึงฤดูน้ำยังขังเจิ่งให้เห็นเป็นบึงกว้าง
และเคยมีผู้พบซากเรือกับโซ่สมอเรือในบริเวณดังกล่าว
ดิเรก พรตตะเสน กล่าวไว้ใน “แด่มาตุภูมิ”
ในสารนครศรีธรรมราช ฉบับเดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๔ ว่า สมัยโจรสลัดชวา
มาตั้งกองจับสัตว์น้ำอยู่ในอ่าวหน้าเมืองนครศรีธรรมราช
แล้วรุกขึ้นบกแย่งชิงเอาไข่เป็ดไข่ไก่ของชาวเมืองไปย้อมแหย้อมอวน เมื่อเป็นเช่นนั้น
ชาวบ้านจึงระดมกำลังกันออกตีโต้
ทัพโจรสลัดไม่ชำนาญการรบในภูมิประเทศเช่นนี้จึงเสียทีล้มตายเป็นจำนวนมากแล้วล่าถอยไปในที่สุด
จนต้องออกอุบายทำทีมีราชสาส์นไปถึงพญาจันทรภาณุ ผู้เป็นกษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราช
ว่ากษัตริย์ชวาส่งราชธิดาเข้ามาถวายเป็นบาทบริจาริกาขอเป็นไมตรีต่อกัน
ให้กษัตริย์เมืองนคร แต่งขบวนเรือพอเป็นเกียรติยศล่องไปรับธิดากษัตริย์ชวา
ซึ่งรอที่เรือใหญ่ในอ่าวหน้าเมืองนคร
พญาจันทรภาณุหลงอุบายจึงถูกจับแล้วบังคับให้ส่งไข่เป็ดเป็นส่วยอยู่ถึง ๑๐ ปี
ภายหลัง “พังพการ” พระราชบุตรบุญธรรมของพญาจันทรภาณุเติบใหญ่มีกำลังฝีมือขึ้น
จึงแข็งข้อไม่ยอมส่งส่วยดังกล่าว ทัพชวาจึงยกพลเข้ามาข่มขู่ คราวนี้ผิดคาดคือแม้ชวาจะเชี่ยวชาญทางการรบในทางน้ำแต่ด้วยความสามารถแห่งขุนพลเมืองนครศรีธรรมราช
ทำให้ต้องล่าถอย แทนที่จะคืนสู่ภูมิลำเนาแห่งตน
กลับถูกบีบร่นขึ้นไปตามแนวเขาหนอกวัว ก่อนจะถูกปิดล้อมเสียทีในที่สุด
จึงเป็นที่มาแห่งชื่อว่า “มหาชัย” จนถึงปัจจุบัน
เขามหาชัยมีแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ใสและไหลตลอดทั้งปีเป็นเครื่องชี้ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า
นอกจากจะมีสมุนไพรซึ่งเป็นสรรพยาตามตำรับโบราณหลายชนิด เช่น งิ้วดำ เตยแดง
เข็มดอกดำ มังเรดอกขาว ว่าต่างๆ อาทิ ว่านงูเหลือม นิลภูษี มหาสดัม ฯลฯ แล้ว
ยังมีน้ำศักดิ์สิทธิ์จากธรรมชาติย้อยมาจากหินเรียกกันว่า “มูตผา” ซึ่งเชื่อกันว่า
ใครได้ดื่มกินจะทำให้อายุยืน มีพละกำลังแข็งแรง
“มูตผา” หากจะแปลความตามพยัญชนะก็จะได้ว่า
“ปัสสาวะแห่งหิน” ซึ่งแท้จริงคือน้ำที่เดือดจากหินออกมาเป็นฟอง มีเรื่องเล่าว่า
แต่ก่อนมีฝูงแร้งนับพันอาศัยอยู่บนเขามหาชัย
บ่อยครั้งที่มันจะจิกตีกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในฝูง
ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บขนหลุดหลุ่ย แข้งขาหัก ปีกพิการ สลบล้มตกลงเกลื่อนกลาด แต่ไม่เคยมีตัวใดล้มตายแต่อย่างใด
ความ “อมตะ” ข้อนี้ว่ากันว่าก็ด้วยอำนาจของ “มูตผา”
ที่พวกมันใช้ดื่มกิน
มูตผายังปรากฏมีในปัจจุบันหรือไม่
ยังไม่มีการสำรวจ แต่เชื่อกันว่าห้วยเขามหาชัย คือรางรองรับความศักดิ์สิทธิ์แห่งมูตผานั้นไว้
แม้จะเจือจางลงด้วยตาน้ำซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของห้วยคือก็ตาม
แต่นัยยะแห่งการเป็นแหล่งน้ำจากเขาอันมีนามว่า “มหาชัย” นี้ เป็นมงคลนามอย่างประจักษ์แจ้งโดยไม่ต้องสำรวจ
ห้วยปากนาคราช
(หมู่ที่ ๔ ตำบลเขาแก้ว อำเภอลานสกา
จังหวัดนครศรีธรรมราช)
ห้วยปากนาคราช
เป็นลำห้วยขนาดเล็กลักษณะคดเคี้ยวคล้ายตัวพญานาค มีแอ่งเล็กๆ
ที่เกิดจากสายน้ำลำธารหลายสายไหลมารวมกัน
ประหนึ่งเหล่านาคราชพากันมาพ่นน้ำรักษาไว้ที่อ่างศักดิ์สิทธิ์ ขุนอาเทศคดีบันทึกความทรงจำไว้ว่า
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช จัดคนเฝ้าดูแลห้ามมิให้ผู้ใดตัดต้นไม้หวงห้ามซึ่งขึ้นอยู่บริเวณห้วย
ได้แก่ ต้นแร็ด ๑ หมู่ ไม้ไผ่โปง ๑ กอ และหวายลำเล็ก ๑ กอ ซึ่งไม้หวงห้ามเหล่านี้
ถูกใช้ในการบรรจุน้ำหลังพลีกรรม ไม้ไผ่โปงใช้ทำกระบอกใส่น้ำ ใบแร็ดทำจุกปิด
และหวายใช้ผูกทำ “หยู” หิ้วหรือแขวน
น้ำจากแหล่งห้วยปากนาคราช
เป็นแหล่งเดียวที่พบข้อมูลรูปแบบการเชิญน้ำเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ
ขุนอาเทศคดี (ที่อ้างแล้วในย่อหน้าก่อน) ได้บันทึกเอาไว้ว่า “...การเชิญน้ำห้วยปากนาคราชมาสู่จังหวัดนั้น
จำได้ว่าทางการได้ให้ราชบุรุษไปพลีกรรมนำมาโดยทางเรือ
(จากคลองท่าดีขึ้นที่ท่าน้ำคลองท่าชี)
เมื่อเรือมาถึงแล้วได้มีการจัดกระบวนไปต้อนรับ คือมีคนถือหวายนำหน้า ๑ คู่
ถือดาบหอกทวนอย่างละ ๑ คู่
มีคนถือสัปทนแดงกั้นอัญเชิญไปสู่พิธีมณฑล...ในขณะเดินกระบวนแห่ไปนั้น ใครจะกีดขวางหน้าหรือตัดกระบวนมิได้...
”
จากความทรงจำเมื่อครั้งมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิธ (รัชกาลที่ ๙) เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ ในขณะที่ขุนอาเทศคดี (พ.ศ.๒๔๓๑ –
๒๕๒๗) เกษียณอายุราชการจากตำแหน่งแพ่งอัยการชั้น ๖ แล้ว และเพิ่งลาออกจากการเป็นเทศมนตรีเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช
ในวัย ๖๒ ปี
เหตุที่จำได้แหล่งเดียวนี้อาจเป็นเพราะว่าผ่านหน้าบ้านของท่านซึ่งอยู่ละแวกเดียวกันกับที่บันทึกว่าทางราชการจัดกระบวนไปต้อนรับ
อย่างไรก็ดีนี่ถือเป็นหลักฐานสำคัญร่วมสมัย ซึ่งยอมรับโดยดุษณีได้ว่า น้ำจากแหล่งอื่นก็มีรูปแบบกระบวนแห่ไปยังมณฑลพีธีในลักษณะเดียวกัน
ดังจะได้กล่าวต่อไป
น้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๖
แหล่งที่ได้ยกขึ้นมานี้ ด้วยเหตุที่ทุกแหล่งเคยใช้ทำน้ำพระพุทธมนต์ประกอบพระราชพิธี
เช่น น้ำอภิเษก น้ำพิพัฒน์สัตยา และน้ำสรงสิ่งอันเป็นที่เคารพศรัทธาของบ้านเมืองมาแต่โบราณ
เช่นในคราวงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และ
พระราชพิธีเฉลิมพระมณเฑียร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
(รัชกาลที่ ๙) เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ นั้น นายแม้น อรจันทร์
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ให้ราชบุรุษไปพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำทั้ง ๖
นี้เพื่อประกอบพิธีทำน้ำอภิเษก ณ พระวิหารหลวง
พิธีทำน้ำอภิเษกดังกล่าว
ใช้พระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เป็นสถานที่สำหรับประกอบพีธี
ภายในตั้งโต๊ะหมู่ เครื่องสักการบูชาหน้าพระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช ทิศเหนือตั้งเตียงสำหรับพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์
๓๐ รูป ทิศตะวันออกตั้งเตียงพระสวดภาณวาร มีกระโจมเทียนชัยตั้งอยู่ข้างหน้าเตียง
ส่วนทางทิศใต้ จัดอาสนะสำหรับพระนั่งปรก ถัดไปนั้นตั้งโต๊ะ
เก้าอี้สำหรับผู้ว่าราชการและกรมการนั่งฟังพระเจริญพระพุทธมนต์
ในครั้งนั้น มีพระรัตนธัชมุนี (แบน
คณฺฐภารโณ) เมื่อยังเป็นที่พระศรีธรรมประสาธน์ เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช
เป็นประธานสงฆ์ ได้เริ่มพิธีทำน้ำอภิเษกเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๓ เวลา ๑๖.๐๐
น. ข้าหลวงประจำจังหวัดไปยังพิธีมณฑล จุดธูป เทียน เครื่องนมัสการ สมาทานศีล แล้วพระสงฆ์ประกาศเทวดา
คำประกาศเทวดาเมื่อครั้งนั้นใช้สำนวนใดยังไม่พบข้อมูล พบแต่คำประกาศเทวดาพระธาตุนครศรีธรรมราช
เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ราชบุรุษพนักงานเชิญเครื่องราชสักการะไปอุทิศถวายพระบรมธาตุเจดีย์
เมืองนครศรีธรรมราช เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระสมมตอมรพันธุ์ได้ทรงรวมรวมเอาไว้ใน “ประกาศพระราชพีธี เล่ม ๒”
กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๐ ดังได้คัดลอกมาไว้ต่อไปนี้ (คงอักษรตามต้นฉบับ)
“ประกาศเทวดาพระธาตุนครศรีธรรมราช
ข้าแต่เทพยดาเจ้าทั้งหลาย
มีอมรมหิทธินิกายประจำรักษาซึ่งพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราชบูรพ์สถิต
เปนประธานสถาวรประดิษฐอยู่ในภพโลกแหล่งนี้เปนต้น
เปนที่เคารพเพื่อผดุงผลเจริญคุณประฏิบัติ ยังศรัทธานุสรณธรรมบำรุงจิตรให้เลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนาให้ปรากฏ กำหนดเทพยโดยดำแหน่งเนาว์อภิบาลอยู่เนืองนิตย์
อิกเทพยพิทักษ์ทุกสถานทิศทั่วมณฑล ตำบลประเทศเขตรรอบขอบนิคมคามขันธสีมา
จบทั่วพระราชอาณาจักร บรรดาเทพยสิงสถิตทุกสำนักพนัศพนมเนินอรัญราวไพร
ภูมิพฤกษไศลสีขรขันธ๊อรรชฎากาศ ทิพรัตนพิมานมาศทุกหมู่อมรสรรค์
ชั้นกามาพจรภพจบพรหมโลกตลอดพื้นสุธาวาศ
จงเงี่ยทิพยโสตรสดับคำประกาศประกอบในธรรมสุจริต
ด้วยบัดนี้บรมบพิตรพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงคุณอันประเสริญยิ่งอเนกมหันต์ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติณกรุงเทพมหานคร
อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหานครราชสถาน
ทรงบริบาลบำรุงรัฐสยามพิภพสืบสันตติพงษ์ สนององค์สมเด็จพระบรมชนกาธิราช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเสด็จสวรรคตคืนสู่ทิพยโลกโดยนิยมกำหนด
บัดนี้พระบาทผู้เป็นพระบรมเอกอรรคมหาราชปิเยารส เสด็จดำรงรับรัชทายาท
เปนใหญ่ในสยามภพ จบประเทศเขตพระราชอาณาประวัติ
ทรงพระกมลประสาทโสมนัศยิ่งด้วยพระราชศรัทธาตั้งพระไทยอุปถัมภกพุทธศาสนา
แลบำรุงราชอาณาจักรเปนต้น ทรงพระเมตตาเผื่อแผ่แก่ชาวชนทุกชนิดชาติแลศาสนา
มีสมณะพราหมณาเปนอาทิ แลพระบาททรงพระดำริห์โดยพระราชปสันนาการ
มารพระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสเหนือเกล้าฯ โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าราชบุรุษผู้พนักงาน
เชิญพุทธบรรณาการมาบูชาซึ่งพระบรมธาตุ อันประดิษฐานเนาว์ในนครศรีธรรมราชครั้งนี้
เปนพุทธาธิคุณพลีโลกุตรประโยชน์ ขอเทพยทั้งหลายจงปราโมทย์ภิรมย์รับ
ส่วนกุศลซึ่งทรงพระราชอุทิศ แล้วจงตั้งกมลมีไมตรีจิตรบำรุงรักษา
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้ทรงพระเกษมศุขสมบูรณ์สบายพระราชหฤไทย ขอให้ทรงเจริญพระชนมายุยืนยง
ดำรงราชมไหสวรรยาธิปัติพัฒนาการ
อนึ่งขอเทพยดาเจ้าจงอภิบาลพระบรมราชวงษานุวงษ์จงตลอดทั่วข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน
พร้อมทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน สิ้นทั้งสมณะชีพราหมณาจารย์
ตลอดทั่วทั้งสรรพพาหนะยานอเนกนิกรสัตวชาติ
ให้พ้นไภยบาราศสรรพพิบัติอุปัทวทุกข์ทุกประการ
ด้วยอำนาจพุทธาทิรัตนไตรยาธิคุณภินิหาร แลอานุภาพเทพยบำรุงรักษา
ให้อยู่เย็นเปนอุดมศุขาผาสุกสิ้นด้วยกัน ทั้งพระมหานครราชสถานมณฑลรอบขอบเขตรขันธสีมา
โดยนัยประกาศแก่เทพยเจ้าดุจพรรณนามาฉนี้”
หลังจากประกาศเทวดา ในเวลา ๑๗.๑๔ น.
ประธานสงฆ์จุดเทียนชัย ประโคมฆ้องชัยดุริยางค์ พระสงฆ์ ๓๐
รูปเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว จะได้ผลัดเปลี่ยนกันสวดภาณวารต่อไปจนตลอดรุ่ง
วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๓ เวลา ๑๐ น.
ข้าหลวงประจำจังหวัดไปยังพิธีมณฑล จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ
สมาทานศีลแล้วประธานสงฆ์ดับเทียนชัย
เจือน้ำพระพุทธมนต์ลงไปในน้ำอภิเษกแล้วข้าราชการช่วยกันประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์ ๓๐
รูป ฉันเสร็จแล้ว ข้าหลวงประจำจังหวัดประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เวลา
๑๒.๐๐ น. ตั้งบายศรีเวียนเทียน
สมโภชน้ำอภิเษกเสร็จแล้วข้าหลวงประจำจังหวัดจัดข้าราชการเชิญน้ำอภิเษกนั้น
ไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำส่งสำนักพระราชวัง ก่อนวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๙๓
สำหรับแหล่งน้ำศักดิสิทธิ์ทั้ง ๖
แหล่งนี้ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิธ (รัชกาลที่
๙) เคยใช้เป็นน้ำอภิเษกและน้ำพระพุทธมนต์ในพระราชพิธีต่างๆ ดังนี้
๑. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อพุทธศักราช
๒๔๙๓
๒. พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕
รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐*
๓. พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖
รอบ ๒๕๔๒
๔. พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐
พรรษา ๒๕๕๐
๕. พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗
รอบ ๒๕๕๔
* ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๕ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ ปรากฏว่ามีการพลีกรรมแหล่งน้ำจากน้ำตกพรหมโลกเพิ่มอีก ๑
แหล่งจากเดิม ๖ เป็น ๗ และการพระราชพิธีคราวถัดไปได้กลับไปใช้ ๖ แหล่งตามเดิม
ดังจะได้กล่าวไว้ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ในตอนที่ ๒
วันพระ สืบสกุลจินดา
๖ มีนาคม ๒๕๖๒
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น